1. หลักฐานการมีน้ำในรูปของเหลว
เมื่อไม่นานมานี้ มีการค้นพบหลุมขนาดมหึมาที่บ่งชี้ว่ามีน้ำในรูปแบบของเหลวอยู่บนดาวอังคารเมื่อประมาณล้านปีก่อนหรืออาจจะยาวนานกว่านั้น แต่มันค่อย ๆ หายไปเนื่องจากการวิวัฒนาการของดางดาว
2. โดนัทเจลลี่
นาซ่าพบหินก้อนนี้โดยบังเอิญ โดยรูปร่างของมันเหมือนกับโดนัทเจลลี่มาก แต่เมื่อย้อนกลับมาดูอีกครั้งปรากฎว่ามันหายไปแล้ว หรือว่ามันจะโดนมนุษย์ต่างดาวกินไป? อย่าตกใจไป เพราะเรื่องจริงก็คือล้อของรถสำรวจได้ชนหินก้อนนี้เข้าโดยไม่ตั้งใจและทำให้มันพลิกกลับด้านจนปรากฎเป็นอีกรูปร่างหนึ่งไป
3. เกร็ดมังกร
นี่คือเนินเขาที่รูปร่างเหมือนเกร็ด จนได้ชื่อว่าเกร็ดมังกรซึ่งมีลวดลายที่คล้ายกับผิวหนังของสัตว์เลื้อยคลาน คาดการณ์ว่าพื้นที่นี้ถูกแม่น้ำโบราณกัดเซาะจนมีรูปร่างเหมือนดั่งในปัจจุบัน
4. รอยข่วน
ถ้าเกร็ดมังกรยังไม่แปลกพอแล้วละก็ เราขอนำเสนอรอยข่วนที่ปรากฎบนดาวอังคาร ซึ่งถูกจับภาพได้เมื่อปี 2017 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ารอยเหล่านี้คือผลจากน้ำแข็งแห้งที่ไถลตัวลงมาตามความชันของภูเขา
5. หินเจค มาติเยวิก
หินสมมาตรชื่อดังที่ถูกพบโดยบังเอิญจากรถสำรวจดาวอังคารคิวริออสซิตี้ ก้อนหินได้ชื่อตามวิศวกรชื่อดังเจค มาติเยวิก หินซึ่งสร้างมาจากแร่ธาตุที่ไม่อาจพบเห็นได้ทั่วไปนอกจากบริเวณแกนกลางโลกเท่านั้น
6. โคลอนเซย์น้อย
วัตถุสะท้อนแสงได้ชื่อเล่นว่า “โคลอนเซย์น้อย” มันถูกรถสำรวจดาวอังคารคิวริออสซิตี้ หยิบขึ้นมาซึ่งมันมีความโดดเด่นเหนือก้อนหินสีแดงบริเวณรอบ เชื่อกันว่ามันคืออุกกาบาตที่ตกลงมา แต่ตอนนี้เรายังไงมีทราบที่มาของมันว่ามาจากดาวดวงไหนกันแน่
7. หินรูปไข่
อุกกาบาตจำนวนมากถูกพบบนดาวแดงดวงนี้ ที่โดดเด่นอีกก้อนคือหินรูปร่างไข่ที่คิวริออสซิตี้ค้นพบ ความแปลกของมันคือผิวที่เรียบมัน วัตถุทรงกลมถูกสแกนด้วยการยิงสเปกโตรมิเตอร์และพบว่ามันคืออุกกาบาตเหล็ก-นิกเกิลที่ตกลงมาบนดาวแดง
8. พื้นที่หินทรงกลม
พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหินทรงกลมรูปร่างแปลกตา ค้นพบเมื่อปี 2012 พวกมันมีรูปร่างแตกต่างกันจากหินบลูเบอร์รี่ที่ค้นพบที่อื่นพบดาวอังคาร โดยพวกมันมีขนาดเล็กกว่าและมีมวลหนาแน่นมากกว่า
9. หิมะถล่ม
เหมือนกับโลกของเรา เมื่ออุณหภูมิของดาวสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งบนดาวเริ่มหลอมละลายจนเกิดอ็อกซิเจนบนดาวอังคาร ซึ่งส่งผลให้เกิดหิมะถล่มบริเวณหน้าผาของภูเขาสูงชัน ดั่งภาพที่เห็นซึ่งถ่ายได้ในปี 2010
10. ขดลาวา
รูปร่างที่แปลกตาเหมือนกับมีใครลากพวกมันมาขดรวมกันไว้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ฝีมือของสิ่งมีชีวิตใดที่สร้างสรรค์รูปร่างที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่มันเกิดจากกระแสลาวาโบราณที่ไหลวนจนเป็นรูปร่างดังกล่าว
ที่มา: boredomtherapy